25 กันยายน, 2554

4 อาหารเลวที่ดีต่อร่างกายของคุณ

ถ้าคุณได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ทานอาหารเพื่อสุขภาพอยู่ละก็ เชื่อว่าคุณคงกำลังหลีก เลี่ยงอาหารจำพวกเนย นม และชีสอยู่แน่ แต่รู้ไหมว่าอาหารที่ได้ชื่อว่าเลวร้าย นั้น อันที่จริงมันก็มีสารอาหารบางอย่างที่สำคัญอยู่ และคุณจะได้คุณจากมัน มากกว่าโทษ หากรู้จักกินแบบ "มีลิมิต" นั่นคือ

ชีส
แน่นอน ชีสอุดมด้วยไขมันและแคลอรี แต่ในขณะเดียวกันมันยังเป็นแหล่งสำคัญของ แคลเซียม รวมทั้งกรดไลโนเลอิกโมเลกุลคู่ ซึ่งเป็นไขมันประเภทดี ทำให้คุณลดความ เสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กรดชนิดนี้ยังช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยการไปสกัดกั้นการกักเก็บไขมันในร่างกาย
เลือกชีสชนิด Strong-flavored เช่น เฟต้าชีส บลูชีส และชีสพาร์เมซานสด (ไม่ขูด) ซึ่งคุณจะใช้ในปริมาณน้อยหากนำไปปรุงอาหาร
เลี่ยงชีสประเภทไขมันต่ำ เพราะชีสพวกนี้มีไขมันเพียง 6 กรัมต่อออนซ์ เมื่อนำไป ปรุงอาหาร แล้วจะไม่ได้รสชาติ เราจึงโน้มเอียงที่จะอนุญาตให้ตัวเองกินมันมากขึ้น เช่น เดียวกับชีสไม่มีไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีรส

ช็อกโกแลต
ลืมไปเลยที่ว่าช็อกโกแลตเป็นสาเหตุของสิว และไมเกรน ที่จริงมันมีส่วนผสม บางอย่างที่ต่อต้านการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจเช่นเดียวกับในผักและผลไม้ เว้นแต่ ว่ามีไขมันสูงกว่าเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณมองหาช็อกโกแลตในตอนที่หดหู่นั่นก็ถูก ต้อง เพราะมันจะเพิ่มสารชีโรโตนินในสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้น
เลือกดาร์กช็อกโกแลต ช็อกโกแลตยิ่งเยอะก็หมายความว่าใส่โกโก้บัตเตอร์ซึ่งอุดม ด้วยไขมันน้อยลง
เลี่ยงช็อกโกแลตที่ผสมคาราเมล มาร์ชแมลโลว และไขมันที่ทำให้อ้วนอื่น ๆ

เนื้อวัว
พักการทานไก่ย่างชั่วคราวแล้วหันมากินสเต็กสักชิ้นเนื้อวัวเป็นแหล่งดีเลิศของ โปรตีน และสารอาหารที่ผู้หญิงมักได้รับจากอย่างอื่นไม่เพียงพอ เช่น เหล็ก สังกะสี และวิตามินบี 12

เลือกเนื้อท่อนโคนขา หรือเนื้อสะโพก ซึ่งเป็นส่วนของเนื้อที่มีเนื้อมากกว่ามัน เพราะจะมีไขมันอิ่มตัวเพียง 4.5 กรัมหรือน้อยกว่า ต่อเนื้อน้ำหนัก 3 ออนซ์ ปรุง แบบหมุนย่าง ซึ่งจะทำให้เราเหลือเนื้อที่ในจานสำหรับใส่ผักได้มากขึ้น
เลี่ยงเนื้อซี่โครงและทีโบนชั้นเลิศ เพราะมีไขมันและแคลอรีมากเป็นเท่าตัวของ ส่วนอื่น ๆ

กาแฟ
ไม่จำเป็นต้องงดดื่มกาแฟ การวิจัยเร็ว ๆ นี้ปฏิเสธว่า กาแฟไม่เกี่ยวข้องกับการ เกิดโรคหัวใจ เนื้อเยื่อในหน้าอกผิดปกติ หรือความดันโลหิตสูง หากแต่คาเฟอีนช่วย บรรเทาอาการแพ้ ทำให้คุณกระฉับกระเฉงและสมาธิดีขึ้น

เลือกกำหนดตัวเองให้ดื่มกาแฟไม่เกิน 2 - 3 แก้วต่อวัน และอย่าใส่ครีมกับน้ำตาล ให้มากนัก
เลี่ยงกาแฟแก้วใหญ่พิเศษ ที่อุดมไปด้วยครีม น้ำตาล น้ำแร่ และวิปครีม ซึ่งให้ แคลอรีมากถึง 300 แคลอรี
ถ้าทำได้ตามนี้ ก็รับประกันว่าจะได้ความอร่อยที่ไม่เป็นโทษแน่ ๆ

13 กันยายน, 2554

น้ำมันตับปลา อาหารเสริมที่น่าสนใจ

น้ำมันตับปลา, อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
น้ำมันตับปลา  ใครไม่รู้จักบ้างครับตอนเด็ก ๆ ผมคนหนึ่งล่ะที่พ่อแม่ให้ทาน  ซึ่งผมไม่ชอบทานมันเลยเป็นแคปซูลเม็ดใหญ่ ๆ  ทานยากมาก  ซึ่งเรามักเข้าใจว่าน้ำมันตับปลาเป็นอาหารเสริมที่เหมาะสำหรับเด็ก ๆ  เท่านั้น  แต่ความจริงแล้วแม้แต่คนในวัยหนุ่มสาว  และผู้ใหญ่  ผู้สูงอายุ  มันก็ดีต่อสุขภาพเหมือนกัน  และเราก็สมควรสนใจอาหารเสริมตัวนี้อย่างจริงจังเช่นกัน
     น้ำมันตับปลา  ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง  กระตุ้นให้การเผาผลาญในร่างกายเป็นไปอย่างดีเยี่ยม  เด็ก ๆ  หรือผู้ใหญ่ที่เริ่มจะผอมแห้งแรงน้อย  เจ็บป่วยง่าย  ร่างกายขาดสารอาหาร  ก็ควรรับประทานน้ำมันตับปลา  ซึ่งปัจจุบันก็มีรสต่าง ๆ  เพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้น  และมีชนิดแคปซูลอีกด้วย

10 กันยายน, 2554

อาหารจานด่วน ควรเสริมด้วยอะไรดี

อาหารจานด่วน, สุขภาพ, การดูแลสุขภาพ, อาหารเพื่อสุขภาพ, บทความสุขภาพ, อาหารสุขภาพ, อาหารเสริม
นักกินอาหารจานด่วน  ควรเสริมด้วยอะไรดี  ในสังคมปัจจุบันนี้ทุกคนต่างเร่งรีบไปเสียทุกอย่าง  ซึ่งไม่อำนวยให้คุณปรุงอาหารรับประทานเองที่บ้านทุก ๆ  วัน  ทุก ๆ  มื้อได้  ดังนั้นการฝากท้องไว้กับร้านอาหารจานด่วนต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและหลี่กเลี่ยงไม่ได้เลยในสังคมยุคปัจจุบันนี้  ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เลือกทำกันเป็นกิจวัตร  แล้วเราจะรับประทานอาหารเสริมด้วยอะไรดี
          แต่อาหารจานด่วนจานเดียวที่คุณสั่งมารับประทาน  หรืออาหารขยะประเภทเบอร์เกอร์ต่าง ๆ  มิได้มีคุณค่าสารอาหารพอเพียงแก่สุขภาพร่างกายอย่างแน่นอน  และเมื่อขาดสารอาหารอาการผิดปกติต่าง ๆ  ก็จะเกิดขึ้นกับร่างกายโดยที่คุณอาจไม่คิดว่าเป็นผลจากการขาดสารอาหาร  ซึ่งเป็นคำพูดที่ฟังดูแล้วไม่น่ากลัวแต่อย่างใด  แม้แต่อาการเล็ก ๆ  น้อย ๆ  เป็นต้นว่าผิวหยาบกร้าน  ผมร่วง  อารมณ์หงุดหงิดง่าย ๆ  เฉื่อยชา ฯลฯ  เหล่านี้ก็เกิดขึ้นเพราะร่างกายขาดสารอาหารบางอย่างซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา
         ทุกครั้งที่รับประทานอาหารจานด่วนนอกบ้านคุณจึงควรเสริมด้วยการดื่มนมสักกล่อง  ผลไม้สัก  1-2  ผล  เช่น  ส้มเขียวหวาน  หรือไข่ต้มสักฟอง  หรือถั่วลิสง  เป็นประจำ  ถ้าทำได้คุณก็จะได้รับสารอาหารเสริมเพิ่มจากอาหารจานด่วน  และทำให้สุขภาพร่างกายของคุณดีขึ้น

09 กันยายน, 2554

ผมมันกับนมเปรี้ยว

เส้นผม, สุขภาพ, การดูแลสุขภาพ, บทความสุขภาพ, ความงาม
  เส้นผม เป็นมันจะทำให้ทรงผมดูลีบแบน และมี รังแค ง่ายคุณสามารถบำรุง เส้นผม ให้ผมที่มีความมัน  ลดระดับความมัน  และมีความสมดุลพลิ้วสลวยขึ้นได้  ด้วยการผสมไข่ไก่ 1 ฟองลงในนมเปรี้ยวประมาณ 1 แก้ว  นำมาตีๆ ให้เข้ากัน  หรือจะใช้เครื่องปั่นก็ได้  ไข่ไก่นั้นใช้ทั้งฟองได้เลยไม่ต้องคัดไข่ขาวทิ้ง
          ราดน้ำให้ เส้นผม เปียกชุ่มแล้วจึงหมักนมเปรี้ยวผสมไข่ไก่ให้ทั่วทั้งศรีษะ กะดูให้ครีมหมักชโลม เส้นผม อย่างทั่วถึง  แล้วหมักผมทิ้งไว้นาน 10-15 นาทีจึงล้างออกให้สะอาดก่อน สระผม ตามปกติ เพียงแค่นี้ สุขภาพ ของ เส้นผม ก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ

สตอเบอร์รี่ช่วยเลือนริ้วรอย ได้ง่าย ๆ



 ผลไม้สีแดงสดใส รสชาติหอมหวาน อมเปรี้ยว แสนอร่อย นอกจากจะมีประโยชน์ในด้านโภชนาการแล้ว สตอเบอร์รี่ยังเต็มไปด้วยวิตามินที่เป็นประโยชน์กับผิว มีคุณสมบัติในการลดริ้วรอย อีกทั้งยังทำให้ใบหน้าสดใส ซึ่งวิธีการที่จะนำสตอเบอร์รี่มาใช้ลดเลือนริ้วลอยนั้นก็ง่ายมาก ๆ ค่ะ
 นำสตอเบอร์รี่ 2-3 ผล ล้างให้สะอาด ก่อนนำไปปั่นรวมกับน้ำผึ้งประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้เนื้อเข้ากัน จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ปิดท้ายด้วยการทาครีมหรือมอยเจอร์ไรเซอร์ 

08 กันยายน, 2554

เฮลตี้ สไปซ์ อาหารเพื่อสุขภาพ

กลิ่นหอมเพื่อสุขภาพ

กลิ่นหอมเพื่อสุขภาพ, น้ำมันหมอระเหย, สุขภาพ
 กลิ่นหอมเพื่อสุขภาพ  ในบ้านของคุณนั้นหากมีกลิ่นอับ ๆ  ก็อาจมีผลต่ออารมณ์ของคุณได้อย่างที่คุณอาจไม่รู้ตัว  ความหอมนั้นมีผลต่ออารมณ์ของคนเราอย่างจริงแท้  ในปัจจุบันจึงมีน้ำมันหอมระเหยหลากกลิ่นหลายสไตส์เพื่อ สุขภาพ โดยตรง  ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันหอมระเหย ชนิดที่ผสมกับน้ำอาบ  ชนิดที่ทำนวดทั่วร่าง  และชนิดที่ต้องจุดเทียนอังให้ตัว น้ำมันระเหย ส่งกลิ่นหอมอบอวล
          แต่ละกลิ่นนั้นมีคุณสมบัติแปลกแยกแตกต่างกันออกไป  เป็นต้นว่ากระตุ้นระบบประสาทให้คึกคักกระฉับกระเฉง  คลายเครียด  หรือช่วยให้หลับสบายเป็นต้น  ถ้าคุณไม่ชอบกลิ่นหอมจาก น้ำมันหอมระเหย เหล่านี้ก็อาจใช้สำลีชุบน้ำหอมเล็กน้อยแล้วนำไปวางข้างหมอน  ในตู้เสื้อผ้า  เพื่อให้มีกลิ่นหอมเย็น ๆ และกลิ่นหอมเพื่อสุขภาพ  ทุกมุมในบ้าน  สร้างความรื่นรมย์ให้ สุขภาพ จิตใจได้เป็นอย่างดี

ลดน้ำหนักตัว ด้วยมะเขือเทศ

การลดน้ำหนัก, โรคอ้วน, การออกกำลังกาย, สุขภาพ
 มะเขือเทศเป็นผักที่เราใช้แต่งสี กลิ่น และช่วยเพิ่มรสชาติของอาหาร มะเขือเทศสามารถนำไปทำอาหารได้หลายอย่าง เช่น ส้มตำ สลัดผัก ยำต่างๆ และในปัจจุบันนี้คนไทยได้หันมาให้ความสนใจกับมะเขือเทศมากขึ้น เนื่องจากได้มีการค้นพบว่า มะเขือเทศมีสารสำคัญ ที่ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งและช่วยชะลอความแก่   และสิ่งที่ทำได้อีกอย่าง  คือ  การลดน้ำหนักตัว ด้วยมะเขือเทศ  ซึ่งจะช่วยปรับระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ลดการบริโภคขนมขบเคี้ยวได้ดี  ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา
          ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการพบว่ามะเขือเทศเป็นอาหารที่ช่วยลดความอ้วน  และห่างไกลจากโรคอ้วนได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปพยายามลดอาหารและปล้ำออกกำลังกายจนหน้าดำหน้าแดงเลย  ซึ่งนักวิจัยมหาวิทยาลัยรีดดิงของสหรัฐฯ ได้ศึกษากับสตรี 17 คน โดยให้กินแซนด์วิชที่ทำด้วยขนมปังขาว ชนิดที่มีหัวผักกาดแดง หรือมะเขือเทศเป็นไส้เป็นอาหาร
          ปรากฏผลว่าผู้ที่กินแซนด์วิชที่ประกบมะเขือเทศ จะพากันรู้สึกอิ่มทนนานที่สุด และไม่ค่อยไปหาของขบเคี้ยวกินพร่ำเพรื่อ อันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้อ้วนอย่างหนึ่ง  หัวหน้าโครงการ วิจัยเชื่อว่า เป็นเพราะมะเขือเทศมีส่วนประกอบที่ไปปรับระดับฮอร์โมน  จึงทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว  ซึ่งการลดน้ำหนักตัว  หรือการลดความอ้วน  ก็อาจจะเป็นสิ่งที่มะเขือเทศทำได้อีกอย่างหนึ่ง

          ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นความจริงขนาดไหน  แต่ที่รู้แน่ ๆ คือมะเขือเทศมีผลดีกับสุขภาพร่างกายของเราแน่ ๆ  ถ้าเราได้รับประทานมะเขือเทศ  อย่างน้อย ๆ  ตามความเชื่อส่วนตัวของผมเอง  ซึ่งเชื่อว่าทานมะเขือเทศแล้วจะผิวสวย  ซึ่งถูกผู้ปกครองปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ  ซึ่งจริง ๆ มะเขือเทศอาจมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด.


ผิวแห้งต้องกินอาหารเพื่อผิวโดยเฉพาะ

สุขภาพผิว, การดูแลผิว, การดูแลสุขภาพผิว, สุขภาพ, ความงาม
 ในฤดูหนาวสุขภาพผิว  และผิวพรรณของคุณจะแตกแห้ง  ไร้ความชุ่มชื้นมีน้ำมีนวล  แม้ว่าจะไม่ใช่ฤดูที่มีอากาศเย็นบางท่านก็มักมีปัญหากับ  สุขภาพผิว  อยู่แล้ว  ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลของการทำงานอยู่ในสถานที่ที่เปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลาหรือผิวพรรณกร้านเกรียมเพราะตากแดดมาก ๆ  ก็ตาม
     เมื่อคุณรู้สึกว่า  สุขภาพ  ของผิวเริ่มมีความแห้งตึง  กร้านหยาบไม่เปล่งปลั่งผุดผ่อง  ก็ควรใส่ใจกับอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี  เช่นถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ  ถั่วลันเตา  ถั่วฝักยาว  ถั่วแขก  ตับสัตว์  ไข่  เนย  นมสด  ยีสต์  ฝรั่ง  มะละกอ  ข้าวโพด  ยอดผักต่าง ๆ  ถ้าทำได้สุขภาพผิวของคุณก็จะดีขึ้น


07 กันยายน, 2554

มะเร็งกระเพาะอาหาร

อาบน้ำอุ่นกระตุ้นระบบหายใจ

การอาบน้ำอุ่น, สุขภาพ, การดูแลสุขภาพ, บทความสุขภาพวันนี้มาดูกันว่า  การอาบน้ำอุ่น  ดีต่อ สุขภาพ อย่างไร  ถ้าบ้านของคุณมีเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่แล้ว  การอาบน้ำอุ่น  อย่างสม่ำเสมอก็คงสามารถทำได้สะดวก  แต่สำหรับบ้านที่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น  ก็สามารถที่จะต้มน้ำร้อนอาบบ้างอย่างน้อย 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้งก็คงไม่วุ่นวายจนเกินไปนักสำหรับ สุขภาพ ที่ดีของเรา
          การอาบน้ำอุ่น  ช่วยกระตุ้นระบบหายใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ดังนั้นจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับท่านที่มีสุขภาพหัวใจไม่แข็งแรงนัก
          อุณหภูมิของน้ำที่มีความอุ่นพอเหมาะ  เช่น  45 องศา  ยังจะช่วยเยียวยาอาการของโรคกระเพาะอาหารได้ดีอีกด้วย  ทำให้ร่างกายสดชื่น  ความดันโลหิตเป็นปกติ  นอนหลับสบาย  แต่หากอาบน้ำที่ร้อนมาก ๆ  จะยิ่งทำให้ร่างกายของคุณอ่อนเพลียมากขึ้น  ดังนั้นการอาบน้ำอุ่นบ้างอย่างน้อย 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้งก็คงไม่วุ่นวายจนเกินไปนัก

06 กันยายน, 2554

ของหวาน ความอร่อยที่ต้องระวัง



 เด็กกับของหวานนี่เป็นของที่แยกกันไม่ได้เลย ความหวานทำให้เกิดความสดชื่น จนบางคนถือว่าการได้กินของหวานทำให้แจ่มใสมีความสุข
และเกิดอาการติดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ไม่น่ามีอะไรที่เป็นปัญหามาก แต่ตามหลักทางพุทธของเราอะไรที่มากเกินไปก็มักมีปัญหาทั้งนั้นครับ แล้วเด็กจะมีปัญหาอะไรบ้าง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

เรื่องของหวาน ๆ นี่ตามธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์สำหรับเด็กและทุกคน เนื่องจากน้ำตาลซึ่งมีรสหวานจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นมาในระดับที่ร่างกายต้องการ การกินน้ำตาลมักทำให้อารมณ์ดี มีความกระปรี้กระเปร่าแม้ในขณะที่หิวมาก ๆ ก็ยังรู้สึกดีขึ้นมากถ้าได้กินน้ำตาลหรือน้ำหวานสักแก้ว

ปัญหาก็คือเมื่อกินของที่มีรสหวานก็จะเกิดความอยากบ่อยขึ้นและจะเกิดการติดใจเลยกินไม่เลิก ตอนนี้แหละครับลำบาก ในเด็กนี่เร็วมากครับพอได้ลิ้มชิมรสหวานแล้วละก็ ไม่เอาแล้วของรสจืด เลิกกินกันไปเลย ปัญหาก็คือของที่เราป้อนไม่ว่าจะเป็นข้าว นม ก็เป็นของจืดทั้งนั้น เด็กก็เลยพาลไม่ยอมกินกันเลย จะกินแต่ของหวาน นาน ๆ เข้าก็เลยต้องใส่น้ำตาลในอาหารทุกอย่าง หรือแม้แต่นมก็ต้องมีรสหวาน ทีนี้แหละครับ ปัญหาก็ตามมาเป็นพรวนเลย

เมื่อเด็กกินของหวานเข้า โดยทั่วไปผู้ใหญ่มักจะคิดว่าเด็กจะกินได้มากขึ้น แต่ในเด็กที่ผอมและกินอาหารยากกลับกินไม่ลง ในทางตรงกันข้ามในเด็กที่อ้วนกลับกินไม่พอ เนื่องจากเด็กที่ผอมระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะไปทำให้ระดับฮอร์โมนอินซูลินสูงขึ้น เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ทำหน้าที่สองอย่างครับ คือทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเนื่องจากน้ำตาลถูกนำไปใช้ หน้าที่อีกอย่างก็คือไปกดความต้องการอาหารในเด็ก ในขณะที่เด็กอ้วนนั้นระดับอินซูลินไม่สามารถระงับความต้องการอาหารได้ ก็เลยกินเอา กินเอาไม่ยอมหยุดด้วย ความเอร็ดอร่อย ทีนี้ที่คิดว่าจะแก้ปัญหาให้กินได้มากขึ้นในเด็กผอมก็เลยกลายเป็นสร้างปัญหาไป นอกจากนี้น้ำตาลหวาน ๆ พวกนี้ก็ยังสร้างปัญหาโลกแตกให้คุณหมอฟันมากเลยครับ ลองคิดดูว่าถ้าเด็กเล็กโดยเฉพาะที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบนี่ จะแปรงฟันทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าติดนมหวาน ขนมหวาน แถมติดขวดนมอีก แย่แน่ เพราะจะต้องฟันผุแน่นอนครับ ปัญหาเป็นปัญหาใหญ่มากจนทำให้ที่ประเทศสิงคโปร์โฆษณาชวนเชื่อให้เด็กเลิกของหวานกันเลย แถมในรัฐแคลิฟอร์เนียก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่าอาจไม่ให้ขายน้ำโค้ก แสดงว่าเขาเอาจริงครับ แต่ในประเทศเราท่าทางจะยากเนื่องจากความเข้าใจเรื่องนี้มีน้อย ขนาดนมในโรงเรียนยังเป็นนมหวานเลยครับ แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่มีข่าวว่าอีกไม่นาน นมโรงเรียนจะเปลี่ยนเป็นนมจืดทั้งหมดแล้ว แหม น่าดีใจแทนเด็ก ๆ

ความหวานนี่เคยมีคนพิสูจน์มาแล้วว่าทำให้เด็กค่อนข้างซุกซนผิดปกติ แถมยังไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียน ถึงแม้ว่าการศึกษาระยะหลัง ๆ ไม่ค่อยสนับสนุนนัก แต่ก็มีคนที่ค่อนข้างเชื่อว่า สมาธิกับของหวานน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ก็คงต้องรองานวิจัยที่แน่ชัดต่อไป แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ความหวานมีส่วนทำให้เด็กที่อ้วนอยู่แล้ว อ้วนมากขึ้น และอ้วนง่าย เนื่องจากความหวานมีรสอร่อย เด็กก็เลยกินมากเป็นธรรมดา ยิ่งอร่อยยิ่งอยากกิน จนในที่สุดก็อ้วนฉุ เอ บาคนถามว่าน้ำตาลอ้วนได้ยังไง ก็ขอเล่าแจ้งแถลงไปให้ทราบกันเลยว่าน้ำตาลนี่เปลี่ยนไปเป็นไขมันได้นะครับ พออ้วนมาก ๆ เข้า ก็ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สำหรับรายละเอียดของโรคเหล่านี้ผมก็เล่าแจ้งไปบ้างใน Health Today ฉบับก่อน ๆ แล้วนะครับ

มีคนมักถามว่าผลไม้หวาน ๆ ล่ะ? กินได้มั้ย คำตอบก็คือว่า ความจริง ถ้ากินผลไม้กันเป็นผล ๆ และกินไม่มากจนเกินไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะผลไม้ที่กินทั้งผลมักจะได้กากใยด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อลำไส้และการขับถ่าย แถมทำให้การดูดซึมไม่เร็วไปนัก แต่คนเดี๋ยวนี้ขี้เกียจเคี้ยวกัน จะกินผลไม้ก็ต้องกินแต่น้ำ จะกินผักก็กินแต่น้ำผัก ผมว่าท่าทางจะขี้เกียจเคี้ยวมากไปหน่อย ก็เลยทำให้อดกินของดี ๆ อีกหลายอย่างที่มีในผักและผลไม้ เดี๋ยวนี้เครื่องคั้นผลไม้แบบแยกกากมีขายกันเกร่อ ทำให้กินกันแต่น้ำผลไม้ไม่กินกากกันเลย ความจริงกากผลไม้นั่นแหละครับของดี ส่วนน้ำผลไม้นั่นไม่เท่าไหร่ มีวิตามินนิดหน่อยกับน้ำตาลก็เท่านั้นเอง ถ้ากินมาก ๆ ไปก็ไม่ใช่ว่าจะดีนะครับ บางคนกินน้ำผลไม้วันละเป็นลิตร ๆ เลยได้น้ำตาลไปมากเกินควร ก็อ้วนได้นะครับ

ก็เล่าสู่กันฟังสำหรับของหวานกับเด็ก ผมว่าความจริงแม้ว่าเด็กกับของหวานจะเป็นของคู่กันก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เด็กกินหรือรู้จักขนมหวานมากนัก อาจให้เด็กกินผลไม้และอาหารที่มีรสหวานได้บ้าง แต่ก็ไม่ควรมากหรือบ่อยเกินไป การกินอาหารรสไม่จัดน่าจะเป็นประโยชน์กับเด็กมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อที่ว่าการกินนมที่มีรสหวานจะทำให้เด็กสามารถกินนมได้มากขึ้นนั้นไม่เป็นจริงอย่างที่คิด แถมยังมีผลเสียมากมาย ที่สำคัญบางคนให้เด็กกินนมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้กินนมบ้าง แต่ไม่ทันคิดว่านมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ที่ขายตามท้องตลาดนั้นมีเนื้อนมแค่ประมาณครึ่งเดียว แต่มีน้ำตาลค่อนข้างสูงเด็กทีกิ่นแล้วเลยพาลไม่กินข้าวไปเลย 

05 กันยายน, 2554

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กินอย่างไรให้ปลอดภัย ไร้โรคา

รู้ไว้ใช่ว่า บทความดีๆ สาระน่ารู้ เกี่ยวกับอาหาร
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่ประกอบด้วยแป้งสาลี 60-70% ไขมันในเครื่องปรุง 15-20% ที่เหลือเป็นเกลือ และผงชูรส ถ้าเรารับประทาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มากกว่า 1 ซองหรือ 1 ถ้วยต่อวัน เราก็จะได้โซเดียม (ก็เกลือนั้นแหละ) เกินความต้องการของร่างกายต่อวัน ไปถึง 50-100 % ซึ่งจะทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง ประกอบกับส่วนประกอบหลักเป็นแป้ง ถ้าคุณทานแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร่างกายก็จะได้รับแต่แป้ง ๆ ๆ สุดท้ายก็อ้วนนะสิ (ข้อมูลจากสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล)
        เอาข้อมูลมาจาระไนให้ฟังกันขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าจะมาชวนก่อม๊อบรณรงค์ ให้เลิกกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ประเด็นอยู่ตรงที่ไหน ๆ ก็หนีไม่พ้น ก็หันมาใส่ใจ เลือกซื้อให้คุ้มค่าที่สุด ก่อนซื้ออ่านฉลากสักนิด ว่าเติมสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ รึเปล่า แต่ถ้าจะให้ดีควรเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ และผักทุกครั้งที่ทาน
        วิธีปรุงก็สำคัญไม่แพ้กัน หลาย ๆ คนยอมที่จะต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน ด้วยความที่จะได้เส้นที่เหนียวนุ่มน่ากินกว่า แต่ชอบที่จะใช้น้ำในการต้มน้อย ๆ (รสชาติจะได้เข้มข้น) ใส่เครื่องปรุงลงไปตั้งแต่ตอนต้มด้วย เครื่องปรุงจะได้เข้าเนื้อ (ว่าไปนั่น) แต่หารู้ไม่ว่า การต้มแบบนั้นเป็นวิธีการที่ผิดมหันต์ คุณจะได้รับโซเดียม ไปเต็ม ๆ ซึ่งขอเสียได้บอกไปแล้วตั้นแต่ตอนต้น และผงเครื่องปรุง ที่ใส่ลงไปเมื่อโดนความร้อนสูง จะแปรสภาพเป็นสารพิษ ซึ่งส่งผลเสีย ต่อการทำงานของร่างกายอีกต่างหาก
        วิธีการต้มที่ถูกต้องคือ ต้มครั้งแรกด้วยปริมาณน้ำพอสมควร จากนั้นเทน้ำจากการต้มรอบแรกทิ้งไป ใส่น้ำลงไปใหม่ ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง ใส่ไข่ เนื้อสัตว์และผัก เทใส่ชามจากนั้นจึงค่อย เทเครื่องปรุงใส่ในชาม ซึ่งถ้าจะให้ดี คุณอาจใช้เครื่องปรุงเพียงครึ่งซอง หรือน้อยกว่านั้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรรับประทานแต่ บะหมี่สำเร็จรูปอย่างเดียว ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพิ่มเงินอีกนิด สลับไปทานอาหารจานเดียวอย่างอื่นบ้าง อาจจะเป็น ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน อาหารไทยมีให้เลือกกินตั้งมากมาย เพื่อสุขภาพในระยะยาว

อาหาร กินอย่างไร ให้อายุยืน...

รู้ไว้ใช่ว่า บทความดีๆ สาระน่ารู้ เกี่ยวกับอาหาร
"ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น ๆ ปี" ถ้อยคำคุ้นหู เวลาดูหนังจีน ในราชสำนักโบราณ สะท้อนให้ชวนคิดว่า คนจีนโบราณ น่าจะให้ความสำคัญ กับการมีอายุยืน และการบำรุงรักษาสุขภาพให้มีอายุยืนยาว ถ้าจะว่าไป เชื่อมั้ยคะว่า นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อายุขัยของคนเรา น่าจะยืนยาวถึง 120 ปี แต่เท่าที่เห็น ๆ อายุถึง 100 ปีก็เก่งมาก ๆ แล้ว ส่วนตัวคนเขียนเองยังสงสัยว่าจะอายุยืนถึง 60 ปีรึเปล่า และก็ไม่เคยคาดหวังว่า อยากจะมีอายุยืนถึง 100 ปีหรอกค่ะ แต่อยากอยู่แบบสุขภาพแข็งแรงมากกว่า เคยอ่านบทความ ของแพทย์หญิงพักตร์พิโล ทวีสิน เขียนไว้ในหนังสือสกุลไทย (เกี่ยวกับเรื่องวิธีกิน ให้อายุยืน) เห็นว่าน่าสนใจ วันนี้เลยขอเก็บมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
         ท่านบอกว่าหลักสำคัญที่จะกินให้มีอายุยืนก็คือ ให้ทานอาหาร เพียงแต่วันละน้อย ๆ โดยทั่วไปพบว่า คนที่มีอายุยืนยาวเกิน 100 ปี มักทานอาหาร ให้ได้พลังงานเพียงแค่วันละ 1400 - 1500 แคลอรี่เท่านั้น โดยในอาหาร 1 จาน ครึ่งหนึ่งควรเป็นผักผลไม้ ยิ่งสดยิ่งดี ไม่ต้องผ่านความร้อน ไม่ต้องต้มสุก (ขอแถมนิดนึงว่า ต้องล้างสะอาด ปราศจากยาฆ่าแมลงด้วยนะคะ) อีก 1 ใน 4 เป็นเนื้อสัตว์ (ไม่ติดมัน) เพื่อให้ได้โปรตีนไปเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อีก 1 ใน 4 ค่อยเป็นอาหารประเภทแป้ง คาร์โบไฮเดรต เพื่อให้ได้พลังงาน แต่ให้เลือกสภาพใกล้เคียงธรรมชาติให้มากที่สุด ประเภท ข้างกล้อง เผือกต้ม มันต้ม ย่อมดีกว่า ข้าวขัดขาว สปาเกตตี้ ก๋วยเตี๋ยว ที่แปลงรูปซะจนไม่รู้ต้นกำเนิดแล้ว (หลับตานึกภาพหน้าตา ปริมาณ และสัดส่วนอาหารที่ทานมื้อล่าสุด แล้วถอนหายใจ เฮ้อ... ใครที่ทานได้แบบอาจารย์ท่านว่า ก็ดีใจด้วยค่ะ)
         วิธีการกินก็สำคัญค่ะ อาจารย์ท่าสให้ยึดหลักว่า "ตอนเช้ากินแบบพระราชา กลางวันกินแบบชาวบ้านทั่วไป ตกเย็นให้กินแบบยาจก "หมายความว่า ทานมื้อเช้าให้หนักเต็มที่ เพราะร่างกายเรา อดอาหารมาหลายชั่วโมงในช่วงนอนหลับ นับตั้งแต่อาหารมื้อเย็น เราอาจจะไม่ได้กินอะไรอีกเลย ท้องว่างไปเกือบ 12 ชั่วโมง มื้อเช้าควรเติมพลังงาน ให้เติมเหมือนเติมน้ำมันให้เต็มถัง จะได้ขับเคลื่อน ต่อสู้กับความเครีด และทำงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงไปตลอดทั้งวัน ส่วนมื้อกลางวันก็เพียงแค่เติมพลังงานย่อย ๆ แต่พอประมาณ รับประทานเหมือนคนปกติ ไม่ต้องมากมายอะไร มื้อเย็น อาจจะทานบ้างไม่ทานบ้างก็ได้ และไม่ควรรับประทานอาหารเสร็จ ก็ไปเข้านอนเลย เพราะเลือดส่วนใหญ่ยังไปเลี้ยงอยู่ที่กระเพาะอาหาร และทางเดินอาหาร เพื่อทำการย่อยดูดซึมอาหาร จึงทำให้เลือด ไม่ไหลเวียนไปสู่สมอง การนอนหลับจึงไม่เต็มอิ่ม หลับไม่สนิท ในขณะเดียวกัน เวลาที่เราหลับลึก ๆ นั้น ร่างกายกำลังซ่อมแซมตัวเอง เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน สร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่า หากช่วงที่เรานอนเลือดกลับไปอยู่ที่ท้องแล้ว ร่างกายเราจะซ่อมแซมตัวเองได้อย่างไร เซลล์มันย่อมสึกหรอ ไม่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ ดังนั้น ควรรับประทานอาหารมื้อเย็นเบา ๆ และทานให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนเวลาเข้านอนสัก 3-4 ชั่วโมง จะได้ไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ

           แบบว่าอาจารย์ขา คือตอนนี้รู้สึกว่าวิธีการกินของเราส่วนมากมันจะตีลังกา กับที่อาจารย์บอกมาอยู่น่ะค่ะ คือว่าตอนเช้าเวลารีบเร่ง มีอะไรก็หยอดใส่ท้องไปก่อน นมกล่อง กาแฟแก้ว กับขนมปัง (แบบยาจก) กลางวันพอจะมีเวลาขึ้นมาหน่อย ก็ทานแบบชาวบ้านๆ ค่ะ อาหารจานเดียว ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ตกเย็นหิวโซ โจ้กันเต็มที่ มีอะไรก็ยกมาเลยน้อง (แบบพระราชา) หนักกว่านั้น บางครั้งต่อมื้อดึกก่อนนอนอีกต่างหาก ... ใครเป็นแบบที่ว่าก็ลองหันมาพิจารณา ปรับสูตรการรับประทานอาหารกันใหม่ อายุอาจจะไม่ยืนถึงหมื่นปี แต่ก็จะได้อยู่แบบสุขภาพดี กันถ้วนหน้านะคะ

ผักผลไม้ 5 สี ของดีมีประโยชน์

 รู้ไว้ใช่ว่า บทความดีๆ สาระน่ารู้ เกี่ยวกับอาหาร
ผักสีม่วงหรือน้ำเงิน เช่น ผักอย่าง กะหล่ำม่วง มะเขือม่วง หอมแดง ผลไม้อย่าง ลูกพรุน บลูเบอรี่ แบล็กเบอรี่ หรือแม้แต่ดอกไม้อย่างดอกอัญชัน ไงคะ ผักกลุ่มนี้มีสารประเภท แอนโธไซยานิน และฟีนอล อยู่มาก ช่วยชะลอความชราได้เป็นอย่างดีค่ะ (เห็นประโยชน์ข้อนี้แล้ว แม่สาลิกาต้องเริ่มรับประทานเยอะๆ แล้วล่ะค่ะ)
ผักหรือผลไม้สีแดง นึกออกก็แค่มะเขือเทศเอง แต่อยากจะบอกว่า ผักสลัดอย่าง เรดโอ๊ค ผลไม้อย่างสตอเบอรี่ เชอรี่ บีทรูต แคนเบอรี่ ทับทิม ดอกกระเจี๊ยบ ชมพู่แดง ก็นับอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ผักกลุ่มนี้มี ไลโคปีน และแอนโธไซยานิน (อันนี้มีเหมือนผักสีม่วง) ซึ่งช่วยให้หัวใจมีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง(โดยเฉพาะมะเขือเทศ ที่มีข้อมูลการวิจัยออกมามากมาย) และทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะมีสุขภาพดี
ผักผลไม้สีเหลือง หรือสีส้ม อุดมไปด้วยวิตามินซี แคโรทีนอยด์ และไบโอฟลาโวนอยด์ เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา ให้มีความกระฉับกระเฉง เป็นสารสำคัญแต่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ (พอสำคัญๆ ละก็สร้างเองไม่ได้ทุกทีสิน่า) มีมากใน แครอท มะละกอสุก ฟักทอง ทุเรียน ขนุน ข้าวโพด สับปะรด แคนตาลูป มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ
ผักผลไม้สีเขียว ให้สารอาหารประเภทลูทีน และอินโดลส์ ซึ่งช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง บำรุงสายตา สารลูทีนเหมาะมากกับคนที่ใช้สายตามาก ใครที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน (แม่สาลิกาเองก็ใช่ค่ะ) หรือต้องทำงานกลางแดดจ้า หรือคนที่เจอแฟลซมาก (ใครเตรียมตัวเป็นดาราหรือนางแบบต้องรีบทาน) เจ้าสารชนิดนี้มีอยู่ในลูกตาของเรา ตรงเลนซ์ตาและจอรับภาพ ตรงจุดรับแสงตกกระทบ ซึ่งทำหน้าที่กรองแสงสีฟ้า ซึ่งเป็นอันตรายต่อตา เจ้าสารนี้คนเราไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ (อีกล่ะ) ต้องกินเข้าไปเท่านั้น พบมากใน ผักประเภท ปวยเล้ง คะน้า ผักโขม ตำลึง บล็อกโคลี่ กวางตุ้ง ชะอม
ผักสีขาวและน้ำตาล ให้สารพวกอัลลิซิน สารชนิดนี้ พบมากในกระเทียม พืชสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี ใช้เพิ่มกลิ่นและรสชาติของอาหาร ช่วยให้หัวใจดี รักษาระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน มีคุณสมบัติเป็นยาขับลม รักษาอาการแน่นจุกเสียด ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา แม้เราจะรู้ว่าสารอัลลิซิน มีมากในกระเทียม แต่เจ้าสารชนิดนี้สลายไปได้อย่างง่ายดาย แม้เพียงแค่สับกระเทียมทิ้งไว้ (ประมาณว่าต้องรับประทานกันสดๆจริงๆ) ผักผลไม้ในกลุ่มสีขาวนี้ ยังได้แก่ หัวหอม ดอกแค ถั่วงอก เห็ด เงาะ ฝรั่ง ลิ้นจี่ กระท้อน มังคุด น้อยหน่า แห้ว งา ลูกเดือย ค่ะ

01 กันยายน, 2554

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก


1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด

ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย

ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก  คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า

08 กรกฎาคม, 2554

อย่าให้ "บิ๊กอายส์" ทำลายตา


อยากสวยแบ๊วแบบหนุ่มสาวเกาหลี "บิ๊กอายส์" จึงขายดิบขายดีและมีราคาถูกมากจนน่าใจหายอันตรายคืบคลานเข้าใกล้ตาแต่พวกเรายังชะล่าใจ
          ดังที่ว่า "ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ" มัน จึงเป็นสิ่งมีค่าและสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์อวัยวะชิ้นนี้มีกลไกการทำ งานที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน เป็นระบบประสาทที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประสาทรับความ รู้สึกอื่นๆ

          แต่ตราบใดที่เรายังมองเห็นได้ดี ไม่มีโรคตามมากวดหัวใจ เราจึงมักละเลยที่จะดูแลรักษาให้ตาอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีให้นานที่สุด แถมยังใช้สายตาไม่ถูกต้องด้วย จึงทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นลดลงเรื่อยๆ แต่พวกเราไม่รู้ตัว ยิ่งตอนนี้กระแส "ตาแบ๊ว" ไม่ใช่แค่แฟชั่นมาประเดี๋ยวก็ไป แต่มันกำลังจะหยั่งรากฝังลึกในดวงตาทุกคู่

          ดร.ดนัย ตันเกิดมงคล หัวหน้าสาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ สถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เล่าให้เราฟังว่าในแต่ละปี เยาวชนใส่คอนแทคเลนส์เพิ่มขึ้นจำนวนมากโดยไม่คำนึงเรื่องคุณภาพ และรู้สึกเอาเองว่าใช้ได้เหมือนสินค้าทั่วไป แต่ความจริงแล้วคอนแทคเลนส์เป็นเครื่องมือแพทย์ มันต้องทำให้เราใช้สายตาได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพื่อความสวยงามเป็นหลัก

          คอนแทคเลนส์สีหรือที่เรียกกันว่า บิ๊กอายส์ นั้นจัดอยู่ในหมวดคอสเมติก ถูกสร้างมาเป็นพิเศษด้วยการใส่เม็ดสีที่สามารถพรางสีม่านตาเดิมให้เป็นสีที่ ต้องการได้ จึงใส่ไม่สบายเท่าคอนแทคเลนส์ชนิดอื่นๆ และเนื่องจากมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน จึงมีอัตราการซึมผ่านของออกซิเจนน้อยกว่า ฉะนั้นเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีแสงสว่างน้อย รูม่านตาขยายเกินขอบเขตของช่อง ทำให้การมองเห็นอาจมีประสิทธิภาพด้อยลง

          ที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือผลกระทบระยะยาวมากกว่า เพราะการใช้คอนแทคเลนส์สีแบบผิดๆ และใช้สินค้าด้อยคุณภาพ อาจทำให้ติดเชื้อและลุกลามเรื้อรังในหนังตาและสุขภาพกระจกตาเสื่อมก่อนวัย

          คุณนพพร ภัทรรุจี ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าบริษัท ซีบาวิชั่น (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายเสริมว่าคนใส่คอนแทคเลนส์ มีไลฟ์สไตล์ ใช้สายตาอย่างหนักหน่วงมากเกินไป พวกเขาใส่มันนานกว่า 8-10 ชั่วโมงและอยู่กับวัสดุที่ไม่สามารถส่งผ่านออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์กระจก ตาได้เพียงพอ

          จึงเป็นที่มาของภาวะ การขาดออกซิเจนของกระจกตา นำมาซึ่งภาวะกระจกตาชราเกินวัย โดยจะมีอาการตาแดงโดยไม่ทราบสาเหตุระคายเคือง มองเห็นภาพมัว หรือแสงรุ้งรอบดวงไฟ มองภาพไม่ชัดเจน เหมือนสายตาสั้น เพิ่มขึ้นเพราะกระจกตาบวม จนไม่สามารถทนใส่คอนแทคเลนส์ได้นาน หรือไม่ได้เลยในที่สุด

          ฉะนั้น ก่อนที่หนุ่มสาวๆ ทั้งหลายจะ "แอ๊บแบ๊ว" ดร.ดนัยบอกทางป้องกันไว้ว่า ผู้ใส่ต้องมีกฎเหล็ก เมื่อตัดสินใจใส่คอนเทคเลนส์ควรแวะไปให้จักษุแพทย์หรือนักทัศนมาตรวิเคราะห์ ความเหมาะสม หรือข้อจำกัดเฉพาะตัวก่อน เช่น บางคนกระจกตาบางมาก จึงไม่เหมาะกับคนแทคเลนส์ชนิดใดเลย หรือคนที่สายตาเอียงต้องใช้คอนแทคเลนส์สำหรับสายตาเอียง เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดขึ้น เป็นต้

          เมื่อไร้ปัญหาใดๆ ก็ควรเลือกเลนส์ที่มีการรับรองทางการแพทย์ ครั้นใส่แล้ว ก่อนนอนก็ต้องถอดออก และทำความสะอาดอย่างเคร่งครัด

          "พยายาม หาวัสดุที่สามารถให้ออกซิเจนผ่านตาได้สูง และอย่าใช้คอนแทคเลนส์ผิดประเภท เช่นรายเดือนก็ต้องใช้เพียงเดือนเดียวแล้วทิ้ง หรืออย่าแลกใส่กับเพื่อน และอย่าเปลี่ยนแบรนด์บ่อยหากใช้ยี่ห้อไหนแล้วดีกับตัวเองก็อย่าเผลอใจไปกับ โปรโมชั่นเจ้าอื่น และถ้าตามีปัญหา ก็อย่าทนให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน" ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตากล่าว

เทคนิคยืดดวงตา

          - สวมแว่นสายตาให้เหมาะสมกับสายตาหากปล่อยทิ้ง คนสายตาสั้นอาจทำให้เกิดตาเหล่ออก คนสายตายาวจะตาเหล่เข้า

          - ใส่แว่นตาเป็นประจำ จะทำให้สายตาคงที่ หรือเปลี่ยนแปลงช้าลง

          - ใช้น้ำยาล้างคราบโปรตีนทุกเดือนไม่เปลี่ยนยี่ห้อน้ำยาล้างบ่อยๆ

          - พักสายตา 5-10 นาทีหลังใช้คอมพิวเตอร์ทุกๆ 1 ชั่วโมง

          - ระยะอ่านหนังสือไม่ควรใกล้กว่า 40 ซม.

          - ห่างจากจอทีวีอย่างน้อย 4 เท่าของขนาดจอ

          หมั่นตรวจสายตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อสุขภาพที่ดีระยะยาว...

สิ่งที่มา...กับปลาดิบ



ปัจจุบันคนไทยนิยมรับประทานปลาดิบกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารญี่ปุ่นด้วยรสชาดและน่าตาของอาหารที่ดูสะดุดตาชวนให้น่ารับประทาน  ทำให้แทบจะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่เคยลิ้มลองอาหารจำพวกข้าวปั้น ซูชิ ซาซิมิที่มีปลาดิบเป็นส่วนประกอบ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าในปลาดิบเป็นส่วนประกอบ แต่ทราบหรือไม่ว่าปลาดิบนี้มีพยาธิ...พิษภัยที่หลายคนคาดไม่ถึงดังนั้น เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านได้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวจึงขอนำเสนอบทความเรื่อง “สิ่งที่มากับ...ปลาดิบ” โดยมีรายละเอียดดังนี้


ปลาดิบ
ปลาดิบที่เรานำมาบริโภคนั้น มี 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ ปลาดิบน้ำจืด และปลาดิบน้ำเค็ม (ปลาดิบทะเล) ซึ่งปลาดิบทั้ง 2 ชนิด มีเชื้อโรคที่แอบแฝงมาแตกต่างกัน ปลาดิบน้ำจืดจะพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิตัวจี๊ด พยาธิใบไม้ลำไส้ ฯลฯ สำหรับปลาดิบน้ำเค็มนั้น คนส่วนมากมักคิดว่าไม่มีพยาธิ แต่ความจริงแล้ว ปลาน้ำเค็มอาจพบตัวอ่อนของพยาธิ อะนิซาคิส ซิมเพล็ก (Anisakis simplex) ซึ่งปลาดิบน้ำเค็มที่เรานำมาประกอบอาหารนั้นอาจมีการปนเปื้อนของพยาธิชนิดนี้


รู้จักพยาธิอะนิซาคิส ซิมเพล็ก
Anisakis  simplex เป็นพยาธิที่พบในปลาทะเลเขตอบอุ่นและเขตร้อน ในประเทศไทยตรวจพบตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ในปลามากกว่า 20 ชนิด เช่น ปลาดาบเงิน ปลาตาหวาน ปลาสีกุน ปลาทูแขก ปลากุเลากล้วย ปลาลัง เป็นต้น ส่วนในต่างประเทศจะพบในปลาจำพวก ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาเฮอริ่ง ระยะตัวอ่อนที่ติดต่อสู่คนจะอยู่อวัยวะภายในช่องท้องของปลาทะเล มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า   ขนาดยาวประมาณ 1-2 ซม. กว้างประมาณ 0.3-0.5 มม. สีขาวใสมีลายตามขวาง บริเวณส่วนปากจะมีหมานขนาดเล็กบริเวณปลายหางจะมัส่วนแหลมยื่นออกมา   พยาธิชนิดนี้จะใช้ปากที่เป็นหนามขนาดเล็กบริเวณหัวในหารไชผ่านเนื้อเยื่อต่างๆ อีกทั้งยังสามารถคงทนต่อน้ำ เกลือ และแอลกอฮอล์ได้เป็นอย่างดี


อาการผิดปกติ
เนื่องจากพยาธิชนิดนี้ขณะเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อสู่คนบริเวณปากของพยาธิจะมีหนามขนาดล็ก ขณะเคลื่อนที่จะไชในกระเพาะอาหารและลำไส้ของคน   ทำให้เกิดแผลขนาดเล็กและอาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารได้   ส่งผลให้ผู้ที่มีพยาธิชนิดนี้ในกระเพาะอาหารและลำไส้ มีอาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ ท้องอืด อาการมักไม่เฉพาะเจาะจงคล้ายกับอาการของโรคกระเพาะบางรายอาจท้องเสียหรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือดถ้ามีแผลในกระเพาะขนาดใหญ่ อาการมักจะเริ่มเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารที่มีพยาธิชนิดนี้เป็นชั่วโมงหรืออาจเป็นวันก็ได้   และถ้าหากพยาธิชนิดนี้ฝังตัวอยู่ในทางเดินอาหาร นานๆ จะทำให้เกิดลักษณะของก้อนทูมขึ้นในทางเดินอาหารได้ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อพยาธิ


รับประทานปลาดิบอย่างไรไม่เป็นพยาธิ
 ก่อนอื่นต้องแน่ใจว่าปลาดิบที่นำมาทำอาหารนั้นเป็นปลาทะเลเพราะบางครั้งผู้ ที่รู้เท่าไม่ถึงการนำปลาน้ำจืดหลายชนิดมาทำอาหารทำใก้เกิดโรคพยาธิตัว จี๊ด   พยาธิใบไม้ในตับ หรือพยาธิใบไม้ลำไส้ ซึ่งมีความรุนแรงเช่นเดียวกับการติดโรคพยาธิอะนิซาคิส ซิมเพล็ก
         การแช่แข็งที่อุณหภูมิ -35 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 12 ชั่วโมง หรือตำกว่า -20 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 7 วัน หรือผ่านความร้อนมากว่า 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 5 นาที ก่อนการประกอบอาหารจะทำให้พยาธิชนิดนี้ตายได้
         นอกจากพยาธิบางชนิดที่พบในปลาดิบแล้ว ยังพบแบคทีเรียบางชนิด  และเชื้อไวรัสตับอักเสบเอกในอาหารดิบด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสุขอนามัยและความสะอาดของขั้นตอนการเตรียมอาหาร ดังนั้นถ้าคิดจะรับประทานปลาดิบ ควรดูให้แน่ใจว่าขั้นตอนการประกอบอาหารสะอาด ถูกอนามัยหรือไม่ เพื่อให้เกิดความมั่นใจและเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อหลายชนิดจากปลาดิบ

07 กรกฎาคม, 2554

10อาหารสุดอันตราย ที่ควรงดรับประทาน

ข้อมูลดีๆที่นำมาฝาก เพื่อให้ทุกคนตระหนักนะไม่ใช่ตระหนก   แค่ลดปริมาณก็พอไม่ถึงกับต้องเลิกกินหรอกนะ
1. แฮมเบอร์เกอร์  จัดเป็นอาหารประเภทที่  “มีความเสี่ยงสูง” เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ” มาใช้ปรุง  ทำให้มี “แบททีเรีย” เกิดขึ้นได้สูง  ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้  “สารเคมีสีแดง”  มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสียทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว
       นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมด จะใส่ “สารปรุงรส” (MSG=Monosodium  Glutamate ) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้  โดย “MSG” เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นด้วย

2. ฮอทด็อก ป็น อีก “เมนูอันตราย” เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายแฮมเบอร์เกอร์  และ  “ฮอทด็อก” ทั้งหมดยังใส่ “สารไนไตรท์” เพื่อช่วยให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็มโดย “สารไนไตรท์”  เป็นสารที่ทำให้เกิด “โรคมะเร็ง” ในกระเพราะอาหาร  มะเร็งในเม็ดเลือดเนื้องอกในสมอง  และมะเร็งในกระเพราะปัสสาวะนอกจากนี้ “ถุงหลอด” ที่ใช้บรรจุฮอทด็อกก็ทำจาก “คอลลาเจนสังเคราะห์” ที่เป็นสารก่อให้เกิด “โรคมะเร็ง” ได้สูง  มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำไปปิ้งย่างมันจะทำให้มี “สารพิษร้ายแรง”  ที่เรียกว่า “อะคริลิไมค์” (Acrylimides) ออกมาซึ่งรู้จักดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง

3. เฟร้นช์ฟราย – มันฝรั่งทอด เป็น อาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง” โดยการทอด “เฟร้นช์ฟราย” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี “สารอะคริลิไมด์” ออกมา  นอกจากนี้ “น้ำมัน” ที่ใช้ทอดมันฝรั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ “ออกซิไดซ์” ในมันฝรั่งยังมี “ดรรชนีกลีซิมิค” (Glycemic) อยู่สูงมาก..นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก
4. คุกกี้ ที่เด่นชัดมากคือสัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว  ซึ่งอาหารในประเภทที่มีน้ำตาลปริมาณสูงเช่นนี้  จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น
5. พิซซ่า “พิซซ่า” ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม”  5 ชนิดคือ…

- เนยแท้ (Cheese) เพียง 10 % เท่านั้น  ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย..

- ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี  ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้วแต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตาม จำนวนโมเลกุลที่เคยมีอยู่เข้าไปใหม่…

- ซอสมะเขือเทศ  ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง  “ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน…

- แป้งสาลี  ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม

- มีน้ำมันฝ้าย  ประกอบอยู่  โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร  มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้  ในฝ่ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆ  เอาไว้ได้มากที่สุด

ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ  และกระทรวงสาธาธารณสุขต่างไม่ไห้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามัน ปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่  มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น  แต่มันเป็น “น้ำมันไฮโดรจีเนต” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
         นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้งพิซซ่า”  ที่อบปิ้งในอุณหภูมิ  อาจมี “สารอะคริลิไมค์” เกิดขึ้นด้วยขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า “เพ็พเปอโรนิ” หรือ เพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก “ไนไตรท์” สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ  รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงานอีกด้วย
6. น้ำอัดลม  สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม”  คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric acid) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน  กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักลดลงได้  และ “น้ำโซดา” ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวหนึ่งของน้ำอัดลมจะเปิดตัวซะล้างแคลเซียมออก จากกระดูก  จนทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน” นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป่องจะมี “น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่ 12 ช้อนชา  ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Dict soda ที่ใช้ “น้ำตาลเทียมสังเคราะห์” (Artificial sweetener) เพิ่มความหวานจะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้นเพราะน้ำตาลสังเคราะห์ เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก  ขนาดที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลมยังเป็น “สารก่อมะเร็ง” อีกด้วย
7. ชิ้นไก่ทอด – เนื้อนุ่มไร้กระดูก  เป็นเมนูที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ใช้แล้ว  การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลังงาน  340 แคลลอรี 50% เป็นไขมัน  มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก  ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงมีการเติมสารปรุงรส “MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้นอกจากนี้ “นัคเก็ตชิคเก้น” บางอันจะมี  “สารอลูมิเนียม”  ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเผาพลาญของร่างกายด้วย
8. ไอศกรีม  มีไขมันสูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำบริโภคต่อวัน  มีคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน  มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น  เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น  เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเนตและไขมันที่แปรเปลี่ยน  (Transfat) ไปจากธรรมชาติ  และยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล  ทำให้สันเลือดแดงอุดตัน  ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งทำให้เป็นสาเหตุของมะเร็ง
9. โดนัท โดยเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงาน 300 แคลอรี่  โดยในโดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50 % ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน  มีเกลือโซเดียมสูงมาก  ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้  นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิที่สูง  ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น  ทำให้เกิดสารพิษ  และทำให้ร่างกายเผาพลาญช้าลง  เป็นการคุกคามต่อสุขภาพได้  และยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น
10. อาหารขบเคี้ยวยามว่าง ในปัจจุบันมีการบริโภค “โปเตโต้ซิพ”กันมาก  โดยน้ำมันที่ใช้ในการทอดโปเตโต้ซิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดร์ (Acrylimides) ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายระบบประสาทออกมา  นากจากนี้การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า  เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปๆได้  การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ชิ้น  อาจได้รับสารอะคริไมค์เท่ากับอัตตราที่มีอยู่ในน้ำดื่ม 1 แก้ว